วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การป้องกันความเสี่ยงจากการเที่ยวสถานบันเทิงเริงรมย์

แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศในโรงเรียนและชุมชน
               


 ในการจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศ ควรคำนึงถึงธรรมชาติและบทบาทชายหญิง เพราะมุมมองเรื่องการมีเพศสัมพันธ์จะมีความแตกต่างกันคือ วัยรุ่นชายต้องการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากบางคนอยากรู้ อยากเห็นอยากลอง ส่วนวัยรุ่นหญิงมักยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะคิดว่าเป็นการแสดงออกของความรัก จากมุมมองที่มีความแตกต่างกันนี้ การที่จะชักชวนให้วัยรุ่นชายและหญิงเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมดังกล่าวทั้งในโรงเรียนและชุมชน จึงควรต้องมีกิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อเป็นแนวทางให้เลือกเข้ากิจกรรมได้ตามความต้องการและสนใจ
                การมีส่วนร่วมของวัยรุ่นในการจัดกิจกรรมเพื่อป้องปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศในโรงเรียนและชุมชน คือ กระบวนการเกี่ยวข้องให้วัยรุ่นมีส่วนในการและเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น เพื่อแสวงหาทางเลือก และการตัดสินใจแก้ปัญหาของตนเอง เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศ โดยร่วมใช้ความคิดเห็นเสนอโครงการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับทั้งในโรงเรียนและชุมชน เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในกระบวนการนี้ตั้งแต่เริ่มโครงการจนกระทั้งการติดตามและประเมินผล
1. ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศ
                สำหรับตัวอย่างที่นำเสนอนี้เป็นกิจกรรมเชิงรุกเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศในโรงเรียนและชุมชนดังนี้
1.1 โครงการฝึกอบรมหลักสูตร “แกนนำเครือข่ายนักเรียนไทยกลุ่มรักนวลสงวนตัว
                ศูนย์เสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งโครงการฯ นี้โดยใช้โรงเรียนในกรุงเทพฯ เป็นโครงการนำร่องก่อนที่จะนำหลักสูตรไปใช้ทั่วประเทศ โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1) วัตถุประสงค์ของโครงการฯ:
    1. ช่วยเผยแพร่ความรู้ให้เยาวชนรู้เท่าทันสถานการณ์ที่ล่อแหลมในปัจจุบัน
    2. รู้ถึงภัยอันตรายที่มีอยู่รอบตัว
    3. สร้างค่านิยมในเรื่องรักนวลสงวนตัวให้เกิดขึ้น
2) ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ : ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน โดยจัดในช่วงปิดเทอม
3)มีเนื้อหาหลักสูตรแบ่งเป็น 4 หมวด ดังนี้
     1.หมวดความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสภาวะแวดล้อมและสิ่งยั่วยุในสังคม
     2.หมวดการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและธำรงรักษาวัฒนธรรมที่ดีงาม
     3.หมวดการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำและการอยู่ร่วมกัน
     4.หมวดการสร้างแกนนำเครือข่ายนักเรียนไทยกลุ่มรักนวลสงวนตัว
1.2 โครงการวัยกระเตาะรู้ทันเล่ห์ก่อนเสียท่าชาย
                 สภาสตรีแห่งประเทศไทย ได้จัดโครงการเพื่อสอนวัยรุ่นหญิงให้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายและชักชวนให้รักนวลสงวนตัว  โดยแบ่งกิจกรรมเป็น 3 ตอนดังนี้
ตอนที่ 1 : จุดอันตรายที่ต้องสงวน 10 จุด
            จุดอันตรายที่ต้องสงวน 10 จุด อย่าให้ใครแตะต้องลูบไล้ ได้แก่ ฝ่ามือ แขน ต้นแขน ริมฝีปากและลิ้น แก้ม ต้นคอ หน้าผาก หน้าท้อง ต้นขาและอวัยวะเพศ ซึ่งมีวิธีการสอนโดยใช้การแสดง คือ มีอาจารย์อยู่ในทีมงานประมาณ 3-4 คน โดยยืนอยู่ตามจุดต่างๆ ภายในห้องเพื่อสังเกตการณ์ (หน้าห้อง กลางห้อง และหลังห้อง) จากนั้นให้นักเรียนหญิงจับคู่กัน และออกมาหน้าห้อง โดยให้แต่ละคู่จับมือกัน แล้วครูถามว่ารู้สึกอย่างไรหรือมีอะไรเกิดขึ้นไหม หากนักเรียนตอบว่าไม่มี ขั้นต่อไปให้นักเรียนแต่ละคู่ค่อยๆ ลูบแขนซึ่งกันและกัน ครูถามเช่นเดิมอีกครั้ง หากนักเรียนตอบว่า ขนลุก สยิว หรือรู้สึกมีอาการแปลกๆ ครูจึงอธิบายให้นักเรียนฟังว่าเมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ควรให้มีการสัมผัสต่อไปอีกเพราะอาจมีพฤติกรรมหรือการกระทำอื่นๆ ตามมา ต้องระวังอย่าให้ใครแตะต้องจุดอันตรายทั้ง 10 จุดนั้น เนื่องจากเมื่อเรารู้สึกเคลิบเคลิ้มหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ อาจเกิดอันตรายทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้

ตอนที่ 2
 : สุขอนามัยวัยกระเตาะ
            การสอนและแนะนำให้นักเรียนหญิงรู้จักดูแลตนเอง โดยการทำความสะอาดอวัยวะของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เช่น ผม หน้าตา ผิวหนัง มือ เล็บ แขน ขา เท้า รวมทั้งอวัยวะเพศด้วยเสน่ห์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คือการรู้จักดูแลอวัยวะเพศ เช่น การดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศไม่ให้อับชื้น เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น เชื้อรา โรคผิวหนัง หรือในขณะมีประจำเดือน ไม่ควรอาบน้ำแบบแช่ในอ่างน้ำ หรือลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง น้ำตก ทะเล เพราะอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางปากมดลูกได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
 ตอนที่ 3 : วัยกระเตาะรักนวลสงวนตัว
            การสอนและให้คำแนะนำกับนักเรียนหญิงในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมทางเพศ ดังนี้       1.หลีกเลี่ยงการไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศสองต่อสอง
                2.ไม่ควรให้เพศตรงข้ามถูกเนื้อต้องตัว สัมผัสร่างกาย
                3.หลีกเลี่ยงการเข้าไปอัดที่มีผู้คนเบียดเสียดกัน เพราะอาจมีพวกฉวยโอกาสสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวได้ หากมีความจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ควรมีความระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา
                4.รู้จักยับยั้งชั่งใจ สามารถควบคุมตนเองให้ปลอดภัยจากพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อม ที่ยั่วยุหรือโน้มน้าวใจ
                5.รู้จักคิดแยกแยะถึงผลดี ผลเสียที่จะตามมาภายหลัง
                6.ปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ดังสุภาษิต “ไม่ชิงสุกก่อนห่าม” “รักนวลสงวนตัว


ปัจจัยเสี่ยงจากการเข้าสถานบันเทิงเริงรมย์

               


      
ปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์

 การมีเพศสัมพันธ์เกิดจากปัจจัยเสี่ยงของสังคม ทำให้เกิดปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน การสำส่อนทางเพศ  การข่มขืน การล่วงละเมิดทางเพศ การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การทำแท้งและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันมีหลายรูปแบ ทั้งที่เกิดจากพฤติกรรมของตัวเอง หรือสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานั้น        ซึ่งเราควรมีความเข้าใจและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับตนเองในการใช้ชีวิตประจำวัน
                สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้พฤติกรรม การดำเนินชีวิตของบุคคลเริ่มเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็รับเอาวัฒนธรรมสมัยใหม่มาใช้ในชีวิตมากขึ้น  เมื่อชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ก็ส่งผลให้ผู้คน สภาพจิตใจและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย  เนื่องจากมีสิ่งเร้าและค่านิยมรูปแบบต่างๆ ให้เลือกปฏิบัติตามมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงและความไม่ปลอดภัย ที่พบบ่อยในสังคมคือการมีเพศสัมพันธ์โดยปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์นั้น ขอยกตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ดังนี้
1.สถานที่พักอาศัย
ที่พักอาศัยเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการมีเพศสัมพันธ์ กรณีไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สถานที่พักอาศัยมีหลายประเภท เช่น หอพัก อพาร์ตเมนต์ แฟลต คอนโดมิเนียม ห้องเช่า บ้านเช่า บ้านญาติ เป็นต้น ที่พักอาศัยในลักษณะหลากหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ นับเป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมประการแรกที่ก่อให้เกิดโอกาสเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ซึ่งพักอาศัยอยู่ห่างไกลสายตาของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
การเลือกแหล่งที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องศึกษาให้รอบคอบเพื่อดูความปลอดภัยว่าสถานที่พัก หรือบริเวณรอบๆที่พัก สภาพแวดล้อม การเดินเข้า-ออก หรือกรณีอื่นๆ มีความปลอดภัย ไม่เป็นแหล่งมั่วสุม มีกลุ่มวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยในรูปแบบต่างๆ มีสภาพแวดล้อมหรือบริเวณที่พักเปลี่ยว รกร้างไม่ค่อยมีผู้คนอาศัย ลักษณะต่างๆ เหล่านี้ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสถานที่พักอาศัย โดยที่พักอาศัยที่มีความปลอดภัยเหมาะสมกับการอยู่อาศัย มีลักษณะดังต่อไปนี้
1.สถานที่สะอาด รอบๆ บริเวณโปร่ง โล่ง ไม่เป็นป่ารกทึบ หรือมีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม
               2.มียามรักษาความปลอดภัย
               3.การเดินทางสะดวก ซอยไม่เปลี่ยว
               4.ไม่เป็นแหล่งมั่วสุมหรือมีกลุ่มวัยรุ่นนักเลง อันธพาล มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัย
               5.มีบุคคลอาศัยอยู่ทุกหลังคาเรือน ไม่รกร้าง ไม่เสื่อมโทรม
2. การเที่ยวกลางคืน
                สถานที่เที่ยวกลางคืน มีหลายรูปแบบ เช่น บาร์ สวนอาหาร ไนต์คลับ ผับ อาราโอเกะ เป็นต้น สถานที่ดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับวัยของนักเรียน โดยเฉพาะบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรเข้าไปเที่ยวในสถานเริงรมย์เหล่านี้เพราะผิดกฎหมาย
               สำหรับการเที่ยวหรือไปงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดในเวลากลางคืนย่อมถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีอิทธิพลต่อการมีเพศสัมพันธ์ประการที่สองด้วย การจัดงานปาร์ตี้มีหลายรูปแบบ อาจจัดเลี้ยงฉลองวันเกิด        สอบเสร็จ เรียนจบ สอบติด เพื่อพบปะสังสรรค์ พูดคุยรับประทานอาหาร การไปเที่ยวกลางคืนนั้นมีปัจจัยเสี่ยงจากการพบปะผู้คน การเดินทาง สภาพแวดล้อม รวมถึงลักษณะของงานหรือสถานที่ในการจัดงานก็มีความสำคัญด้วย ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย และเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ดังนี้
                1.งานเลี้ยงที่มีผู้คนมากมาย ซึ่งเราไม่อาจรู้จักหมดทุกคน ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
                2.สถานที่จัดงานที่มีการมั่วสุม เป็นห้องทึบ มืดมากเกินไป
                3.การเดินทางในเวลากลางคืนเป็นอันตราย เนื่องจากมืด และมีคนเดินทางไม่มากนัก
                4.เสี่ยงจากการรับประทานอาหารอาจถูกมอมยาในอาหารและเครื่องดื่มจากผู้ไม่หวังดี
                5.มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เมาหรือขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่อยู่
                6.การแต่งกายในการไปเที่ยว หรือไปงานเลี้ยง อาจล่อแหลม และดึงดูดความสนใจจากคนทั่วไป
                ดังนั้น หากนักเรียนได้เรียนรู้ถึงปัจจัยเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยดังกล่าวแล้ว ยังต้องการหรือมีความจำเป็นที่ต้องไปงานเลี้ยงสังสรรค์ประเภทต่างๆ ในเวลากลางคืน ก็ควรจะระมัดระวังตัว หรือ มีแนวทางในกลางเที่ยวกลางคืนอย่างปลอดภัย ดังนี้
                1.พิจารณาว่าเป็นงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสใด มีใครไปบ้าง
                2.หาเพื่อนไปด้วย ไม่ควรไปคนเดียว
                3.พิจารณาสถานที่จัดงาน ความเหมาะสมในการแต่งกาย ความสะดวกในการเดินทาง
                4.ระมัดระวังในการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มประเภทต่างๆ โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
                5.บอกพ่อแม่ หรือผู้ปกครองก่อนทุกครั้ง ว่าจะไปไหนกับใคร
                6.ไม่ควรกลับดึก หรือควรหาเพื่อนร่วมทางที่รู้จักและไว้ใจได้กลับบ้านด้วย
                7.ไม่ควรไปเที่ยวต่อที่อื่นอีก
       3.การเที่ยวต่างจังหวัด
            การเที่ยวต่างจังหวัดเป็นกิจกรรมนันทนาการหรืองานอดิเรก เพื่อการพักผ่อนหรือคลายความเครียด อาจเป็นการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง กิจกรรมระหว่างไปเที่ยวต่างจังหวัด ได้แก่ เข้าค่าย พักแรม เดินป่า ดูนก ตกปลา ถ่ายภาพ ปีนเขา ล่องแพ เที่ยวน้ำตก ทะเล ชมปะการัง เป็นต้น
               การเที่ยวต่างจังหวัดเป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์ประการที่สาม โดยมีลักษณะของความเสี่ยงเมื่อมองในเรื่องของการเดินทาง การพักอยู่อาศัย ซึ่งมักไปด้วยกันเพียงสองต่อสองทำให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนม รวมทั้งบรรยากาศที่อาจชวนให้เคลิ้ม ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ อาจก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ตั้งใจได้ ไม่ว่าจะถูกหลอกลวงหรือเต็มใจก็ตาม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาภายหลังได้ ดังนั้น จึงมีข้อเตือนใจในการไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยความปลอดภัยและสนุกสนาน ดังนี้
           1.ควรบอกให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองทราบ
           2.ควรชวนเพื่อนไปเที่ยวเป็นกลุ่มๆ และ อยู่ในกลุ่มเพื่อนเสมอไม่แยกตัวไปอยู่กันตามลำพังกับเพื่อนชายสองต่อสอง
           3.มีความระมัดระวังไม่เหลวไหลเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ
           4.มีทักษะการปฏิเสธต่อสถานการณ์เสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์
           5.ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรพักค้างคืน ควรไปเช้ากลับเย็น จะเหมาะสมและปลอดภัยกว่า
  4.วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก
                วันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของวัยรุ่น และเป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมต่อการมีเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันวัยรุ่นได้รับเอาวัฒนธรรมและค่านิยมทางตะวันตกมายึดถือและปฏิบัติตาม โดยการแสดงออกของความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ในบางกรณีเกิดความไม่เหมาะสมกับสังคมหรือวัฒนธรรมที่มีอยู่ ดังนั้นจึงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดในกรณีเพศสัมพันธ์กับวันวาเลนไทน์ ดังนี้ (สวนดุสิตโพล: สถาบันราชภัฏสวนดุสิต)
                1.วัยรุ่นให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากน้อยเพียงใด
                    ร้อยละ 61.64ให้ความสำคัญปานกลาง (ชายร้อยละ 50.71,หญิงร้อยละ 66.53)
                2.วัยรุ่นอยากฉลองวันวาเลนไทน์กับใครมากที่สุด
                    ร้อยละ 63.40 อยากฉลองกับแฟน/คนรัก (ชายร้อยละ 70.91,หญิงร้อยละ 60.00)
               3.วัยรุ่นเลือกทำกิจกรรมใดเป็นพิเศษในวันวาเลนไทน์
   ร้อยละ 35.61 ดูภาพยนตร์/ฟังเพลง (ชายร้อยละ 35.38,หญิงร้อยละ 35.71)
                   ร้อยละ 5.58 เที่ยวกลางคืน (ชายร้อยละ 9.06,หญิงร้อยละ 4.07)
                   ร้อยละ 3.72 เที่ยวต่างจังหวัด (ชายร้อยละ 2.92,หญิงร้อยละ 4.07)
                4.วัยรุ่นคิดว่าวันวาเลนไทน์เอื้อต่อการมีเพศสัมพันธ์มากน้อยเพียงใด
                   ร้อยละ 50.95 คิดว่ามีส่วนอยู่บ้างที่เอื้อต่อการมีเพศสัมพันธ์ (ชายร้อยละ 47.39,หญิงร้อยละ 52.54)
                   ร้อยละ 11.57 คิดว่ามีวันวาเลนไทน์มีส่วนมากที่เอื้อต่อการมีเพศสัมพันธ์ (ชายร้อยละ 47.39,หญิงร้อยละ 52.54)
                จากแนวคิดดังกล่าว วันวาเลนไทน์เป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่งต่อการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น นักเรียนจึงควรรู้จักหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากสถานการณ์เสี่ยงดังกล่าวจากข้อแนะนำ ดังนี้
                1.ยึดมั่นและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามของไทย
                2.นำทักษะการปฏิบัติมาใช้ป้องกันตนเอง หรือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์
                3.มีความระมัดระวัง มีสติ นึกถึงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง รวมทั้งความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว
                4.กำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิทหรือคู่รักไว้อย่างชัดเจน
                5.ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
5.สื่อเรื่องเพศ หรือสื่อลามก
                ปัจจุบันสื่อที่นำเสนอเรื่องเพศมีมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งจัดเป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์ประการที่ห้า ได้แก่
                1.หนังสือหรือนิตยสารโป๊ ซึ่งมีภาพถ่ายของนางแบบชุดว่ายน้ำ โป๊เปลือยหรือหนังสือทั่วไปที่สอดแทรกเรื่องเพศ
                2.หนังสือการ์ตูนบางเล่มที่มีภาพกอด จูบ และมีเพศสัมพันธ์
                3.ซีดีและวีซีดี ที่มีเรื่องราวการแสดงกิจกรรมการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย
                4.รายการโทรทัศน์ ที่มีการนำเสนอเรื่องบางส่วนในการแสดงออกเรื่องเพศ เช่น ภาพยนตร์ต่างประเทศ ละคร การ์ตูนญี่ปุ่น รายการเพลง เป็นต้น
                5.เว็บไซต์โป๊ ซึ่งมีภาพประกอบหรือการขายวีซีดีที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ รวมทั้งโปรแกรมแชท ซึ่งสามารถใช้ติดต่อทำความรู้จักกันระหว่างชายและหญิง เกิดความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว มีการนัดหมายเพื่อไปเที่ยวชวนไปมีเพศสัมพันธ์กัน (บางโปรแกรมผู้ร่วมสนทนาสามารถดูรูปร่างหน้าตาของกันและกันได้)
                6.ป้ายโฆษณา เช่น แผ่นป้ายโฆษณาตามป้ายรถประจำทาง หรือป้ายโฆษณาตามศูนย์การค้าที่มีภาพของผู้หญิงในชุดชั้นใน เป็นต้น  
                 จากสื่อดังกล่าวข้างต้นที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของสังคมต่อการมีเพศสัมพันธ์สามารถมีแนวทางวิเคราะห์และเลือกรับสื่อให้เกิดความปลอดภัยได้ดังนี้
                1.รู้จักพิจารณาและวิเคราะห์ถึงประโยชน์และโทษของสื่อประเภทต่างๆ ก่อนเลือกใช้หรือรับข้อมูลจากสื่อนั้นๆ
                2.เลือกใช้แต่เว็บไซต์หรืออ่านหนังสือที่มีประโยชน์
                3.ไม่บอกที่อยู่หรือนัดพบกับคนแปลกหน้าที่รู้จักทางหนังสืออินเทอร์เน็ต
                4.ขอคำแนะนำหรือความคิดเห็นถึงการเลือกรับและใช้สิ่งต่างๆ จากผู้อื่น เพื่อนำมุมมองในหลายๆ ด้านจากบุคคลอื่นมาพิจารณาเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองมากที่สุด
6.สรุป
                วัยรุ่นควรให้ความสนใจและตระหนักถึงอันตราย เมื่อมีความจำเป็นต้องเขข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งแวดล้อมที่มีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดความพลาดพลั้งต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจได้ ดังนั้นจึงควรรู้จักศึกษาวิเคราะห์ และหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงของสังคมที่มีต่อการมีเพศสัมพันธ์ หากวัยรุ่นบางคนมีความจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก็ควรมีความเคารพตนเอง รู้จักหลีกเลี่ยงและมีทักษะการปฏิเสธ การเลือกเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมทั้งการรู้จักระมัดระวังตัว จะช่วยให้ชีวิตมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย


10 ประการห่างไกลยาเสพติด




หลักในการหลีกเลี่ยงและป้องกันการติดสิ่งเสพย์ติด 



1. เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครู และคนอื่นๆ ที่น่านับถือและหวังดี (จริงๆ)

2. เมื่อมีปัญหาควรปรึกษาครอบครัว ครู หรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ไม่ควรเก็บปัญหานั้นไว้หรือหาทางลืมปัญหาโดยใช้สิ่งเสพย์ติดช่วยหรือ ใช้เพื่อเป็นการประชด

3. หลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากผู้ติดสิ่งเสพย์ติด หรือผู้จำหน่ายสิ่งเสพย์ติด

4. ถ้าพบคนกำลังเสพสิ่งเสพย์ติด หรือจำหน่ายให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่

5. ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของสิ่งเสพย์ติด เพื่อจะได้ป้องกันตัวและผู้ใกล้ชิดให้ห่างจากสิ่งเสพย์ติด

6. ต้องไม่ให้ความร่วมมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ติดสิ่งเสพย์ติด เช่นไม่ให้ยืมเงิน

7. ไม่หลงเชื่อคำชักชวนโฆษณา หรือคำแนะนำใดๆ หรือแสดงความเก่งกล้าเกี่ยวกับการเสพสิ่งเสพย์ติด

8. ไม่ใช้ยาอันตรายทุกชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และควรใช้ยาที่แพทย์แนะนำให้ตามขนาดที่แพทย์สั่งไว้เท่านั้น

9. หากสงสัยว่าตนเองจะติดสิ่งเสพย์ติดต้องรีบแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ

10. ยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา หรือคำสอนของศาสนาทุกศาสนา เพราะทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายให้บุคคลประพฤติแต่สิ่งดีงามและละเว้นความชั่ว




การแก้ปัญหาสิ่งเสพติด





1.การติดยา เป็นปัญหาหนัก ของสังคมปัจจุบัน บรรดาผู้ติดยาเหล่านี้ ในครั้งแรกอาจใช้ จากสาเหตุหลายอย่าง เช่น เพื่อนชักชวน การอยากลอง อยากมีประสบการณ์แปลกๆ รักสนุก หรือปัญหาครอบครัว เป็นต้น เมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของสารเสพย์ติดเหล่านี้ ผู้ใช้จะมีความรู้สึก เคลิบเคลิ้มเหมือนว่า อยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่แตกต่างจากโลกที่เคยพบ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ความรู้สึกชั่วคราว ที่เกิดจากฤทธิ์ของยา ซึ่งจะหายไป เมื่อยาหมดฤทธิ์ ดังนั้นในขณะที่ใช้ยา จึงมักขาดสติ เหตุผล และความยั้งคิด และอาจก่อเรื่อง ที่จะต้องเสียใจในภายหลัง หรือแม้กระทั่งเรื่อง ที่ไม่มีโอกาสเสียใจอีกเลย ผู้ที่ติดยาจึงเปรียบเหมือน ระเบิดเวลา ที่อาจจะระเบิดออกมา เมื่อไรก็ได้ เมื่อระเบิดแล้วก็ก่อปัญหา ทั้งต่อตัวเองและสังคม

2.การใช้ยาเสพย์ติด ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพล มาจากวัฒนธรรม และสังคมต่างประเทศ โดยเฉพาะ ในกรณีของยาอี และยาเค ดังนั้นครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะปลูกฝัง ภูมิคุ้มกันยาเสพย์ติด ให้แก่เยาวชนของชาติ หมั่นสอดส่องดูแล ให้ความเข้าใจ และความอบอุ่น แก่บุตรหลานของท่าน เสียแต่วันนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจ และต้องสอดส่องดูแล บุตรหลานของท่าน ภายใต้มาตรการ ของกฎหมายในวันหน้า

3.ในส่วนของตัวเยาวชนเอง ต้องรู้จักการยับยั้งชั่งใจ รู้จักปฏิเสธ หรือพูดคำว่า ไม่เมื่อถูกชักชวน ให้ทดลองเสพย์ยา และต้องไม่หลงไหลได้ปลื้ม ไปกับวัฒนธรรม ของคนต่างชาติ ซึ่งมีแนวความคิด ขนบธรรมเนียม และประเพณี แตกต่างจากคนไทย การใช้เวลาว่างให้ถูกต้อง โดยการเล่นกีฬา ดนตรี หรือแสวงหา ความรู้เพิ่มเติมนั้น ดีกว่าการเที่ยวรักสนุก หรือการไฝ่หาทดลอง ประสบการณ์แปลกๆ จิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง เป็นเหมือนเกราะป้องกัน การแทรกซึม จากภัยของยาเสพย์ติด

4.การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ความรู้ เรื่องพิษภัยของยาเสพย์ติด คงจะเป็น อีกมาตรการหนึ่ง ที่ช่วยสร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องแก่เยาวชนได้ การจัดค่ายอบรม เรื่องยาเสพย์ติด การจัดรายการประจำ ทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ และคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ นิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ตลอดจน การให้ความรู้ ทางสื่ออื่นๆ น่าจะเป็นวิถีทาง ที่เร่งเร้าจิตสำนึก ของคนไทยให้ช่วยกัน ขจัดปัญหายาเสพย์ติด อีกประการที่สำคัญ คือผู้รับผิดชอบกำกับดูแล มาตรการทางกฎหมายและสังคม คงจะต้องทำหน้าที่ อย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพ และต้องยอมรับกันว่า การแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุคือผู้เสพย์ยา แต่เพียงอย่างเดียว ไม่น่าเป็นหนทางแก้ปัญหา ที่มีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งได้แก่การลักลอบผลิต และจำหน่าย จะช่วยส่งเสริมให้ การแก้ปัญหา ได้ผลอย่างถาวร การร่วมมือร่วมใจ ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย คงจะเป็นนิมิตรหมายอันดี ที่นำไปสู่การแก้ปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพ การปัดปัญหา ออกจากตัว หรือการเอาแต่ ตำหนิซึ่งกันและกัน รังแต่จะชะลอปัญหา ให้คั่งค้างหมักหมม จนหนักหนาสาหัส เกินแก้ไขในที่สุด 

โทษและพิษภัยของสารเสพย์ติด










.....เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า ซึ่งเป็นโทษที่มองไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทำลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน ก่อปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มีฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิตมนุษย์ การติดสารเสพติดเหล่านั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพิษร้ายต่างๆ จนอาจทำให้เสียชีวิต หรือ เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ ต่อไปได้อีกมาก
.....โทษทางร่างกาย และจิตใจ
1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทำให้การปฏิบัติหน้าที่ ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทำลายประสาท สมอง ทำให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทำงานไม่ได้ อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจเป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและสติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่าและเกียจคร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4. ทำลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายถูกพิษยาทำให้เสื่อมลง น้ำหนักตัวลด ผิวคล้ำซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้ำตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวนกระวาย และในที่สุดจะมีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
.....โทษพิษภัยต่อครอบครัว
1. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องจะหมดสิ้นไป ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว
2. ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง ที่จะต้องหามาซื้อสารเสพติด จนจะไม่มีใช้จ่ายอย่างอื่น และต้องเสียเงินรักษาตัวเอง
3. ทำงานไม่ได้ขาดหลักประกันของครอบครัว และนายจ้างหมดความไว้วางใจ
4. สูญเสียสมรรถภาพในการหาเลี้ยงครอบครัว นำความหายนะมาสู่ครอบครัวและญาติพี่น้อง

วัยรุ่นกับสารเสพติด





 ปัญหาวัยรุ่นกับยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่มากในขณะนี้ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมในปัจจุบันวัยรุ่น ถึงหันเข้าไปหายาเสพติดกันมากอย่างนี้
เท่าที่ได้มีการสำรวจมา สาเหตุใหญ่ของการเริ่มเข้าไปใช้ยาเสพติดของวัยรุ่นยังเป็นเรื่องของความ อยากลองความเป็นวัยรุ่นของเขาทำให้เขาอยากลองในสิ่งแปลกใหม่ ร่วมกับอีกปัญหาหนึ่งคือการ ตามเพื่อนความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด ที่จะสนใจเพื่อน อยากจะลอง อยากจะเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ หรืออยากจะทำอย่างที่เพื่อนทำ จนกระทั่งกลายมาเป็นแฟชั่น ปัจจุบันมีเด็กบางคนหันเข้าไปหายาเสพติด เพียงเพราะรู้สึกว่า ใครๆ เขาก็ทำกัน เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะแปลกอะไร ถ้าถามว่ารู้โทษของยาเสพติดไหม เด็กๆ ก็รู้ แต่เพียงเพราะอยากที่จะตามเพื่อนๆ ไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด กลายไปเป็นเหยื่อของสารเสพติด

 ยาเสพติดมีผลกระทบต่อตัวเด็กในหลายด้าน
ผลกระทบอันแรกที่เราอาจจะสังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือผลการเรียน ยาเสพติดเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อสมอง ฉะนั้นความสามารถในการเรียน ความตั้งใจ สมาธิในการเรียนของเขาจะลดลง ผลการเรียนก็เริ่มตกลง เด็กจะเริ่มมีปัญหาในการฝ่าฝืนกฎระเบียบ เพราะอยากจะใช้ยา บางทีอาจเห็นเด็กอยากโดดเรียน ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาโรงเรียนเลิก เพราะว่าอยากจะไปใช้ยาเสพติด หรืออาจพบมีปัญหาเที่ยวกลางคืนมากขึ้น
ผลกระทบต่อไป คือ ผลกระทบต่อร่างกาย ตัวยาเสพติดเองมีฤทธิ์โดยตรงต่อการทำงานของสมองของเราหรือมีฤทธิ์โดยตรงต่อทางร่างกาย การที่เราไม่หลับไม่นอนเอาแต่สนุกสนานนั้น ร่างกายเราสู้ไม่ไหว ก็จะทรุดโทรมลง เหนื่อย อ่อนเพลีย รู้สึกอยากจะนอนมากขึ้น เด็กอาจจะง่วงเหงาหาวนอนมากขึ้นในชั้นเรียน
ภาวะทางจิตใจเองก็มีผลให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวล เกิดความรู้สึกก้าวร้าวมากขึ้น เพราะเมื่อมีความต้องการใช้ยา เด็กก็จะกระวนกระวาย เวลาใครเข้ามาขัดขวาง เด็กก็จะรู้สึกหงุดหงิด อาจจะทำอะไรลงไปที่รุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญคือในบางรายอาจเกิดอาการทางจิตขึ้นอย่างที่เราเห็นข่าวกัน โดยยาบ้าอาจทำให้เกิดอาการหลอนทางประสาท ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีคนทำร้าย ดังนั้นเขาอาจทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขึ้น เนื่องจากอาการทางจิตของเขา เช่น ใช้มีดจับคนเข้ามาเป็นตัวประกัน หรือกังวลว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง ก็จะแสดงอาการก้าวร้าวต่อคนอื่นได้


โทษการเที่ยวยามวิกาล




การเที่ยวกลางคืน มีความหมายอย่างไร

        การเที่ยวกลางคืน หมายถึง การเตร็ดเตร่หาความสำราญในเวลากลางคืน ตามแหล่งบริการที่ส่งเสริมให้เกิดตัณหาราคะ ความกำหนัด และกามารมณ์ ปัจจุบันมีแหล่งบริการประเภทนี้อยู่มากมาย ทั้งในเมืองใหญ่และในชนบท และมีชื่อเรียกต่างๆ กันไป เช่น บาร์ ผับ อาบอบนวด ดิ โก้เธค ไนท์คลับ ฯลฯ

        การชอบเที่ยวกลางคืนมีโทษอย่างไร

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโทษของการเที่ยวกลางคืนไว้พอเป็นตัวอย่าง 6 ประการ คือ

        2.1) ชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาตน ถานที่เที่ยวกลางคืน คือแหล่งรวมคนมิจฉาทิฏฐิ คนพาลคนขาดสติ อันตรายต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอในหมู่คนเหล่านี้ ดังนั้นผู้ชอบเที่ยวกลางคืนจึงชื่อว่าเป็นการเสี่ยงภัยโดยไม่จำเป็น เพราะนอกจากจะเสียทรัพย์ เสียเวลาสำหรับทำความดีแล้ว ยังอาจเสียชีวิตเอาง่ายๆอีกด้วย ย่อมชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาตน

       2.2) ชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาบุตรภรรยา บุรุษซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ชอบเที่ยวกลางคืนย่อมเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้บุตรภรรยาเอาอย่างบ้าง ดังนั้นนอกจากเขาจะชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาตนแล้ว
ยังชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาบุตรภรรยาของตนอีกด้วย

       2.3) ชื่อว่าไม่คุ้มครองรักษาทรัพย์สมบัติ บ้านใดก็ตามที่ มาชิกออกเที่ยวกลางคืนกัน แล้วปิดบ้านทิ้งไว้ ย่อมตกเป็นเหยื่อให้เหล่าโจรผู้ร้ายเข้าไปลักขโมยทรัพย์สมบัติได้ง่าย เพราะเหตุนี้การเที่ยวกลางคืนจึงชื่อว่าไม่คุ้มครองสมบัติ

       2.4) เป็นที่ระแวงของคนอื่น บรรดามิจฉาชีพและเหล่าโจรผู้ร้ายส่วนมากย่อมก่อกรรมชั่วกันในเวลากลางคืน บุคคลที่ไม่อยู่ในเคหสถานในยามดึกดื่นค่ำคืน แม้จะไม่ใช่โจรผู้ร้าย ก็อาจเป็นที่ระแวง
สงสัยของคนอื่นได้

       2.5) มักจะถูกใส่ร้ายป้าย ีด้วยเรื่องไม่จริงต่างๆ นานา เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า จะมีก็แต่คนไม่ดีเท่านั้นที่ชอบเที่ยวกลางคืน ดังนั้นใครก็ตามที่ชอบเที่ยวกลางคืน แม้ยังไม่ได้ทำความผิด หรือทำชั่ว ก็มักจะถูกระแวง ถูกใส่ร้ายป้าย ีด้วยเรื่องไม่จริงได้โดยง่าย เพราะภาพลักษณ์ของตนไม่ดีอยู่แล้ว

      2.6) มีทุกข์เป็นอันมาก จากสาเหตุทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมาย่อมก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อนเป็นอันมากแก่ผู้ชอบเที่ยวกลางคืนอย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ๆ ของผู้ที่ชอบเที่ยวกลางคืนก็คือ การเสียทรัพย์เป็นจำนวนมากอย่างไร้ประโยชน์ เพราะเหตุนี้ผู้ชอบเที่ยวกลางคืน นอกจากจะเก็บออมทรัพย์ไม่ได้แล้ว ยังอาจจะกลายเป็นคนมีหนี้สินตามมาอีก โดย สรุปก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นกับนักเที่ยวกลางคืนเสมอ